หากจะหาเครื่องชงกาแฟสักเครื่อง ติดบ้านไว้สัก 1 ชิ้น หลายคนอาจจะต้องหาข้อมูลกันหน่อยเพราะเครื่องชงกาแฟที่ดีและทนกับราคาที่เหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญทั้งสิ้นที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อมาใช้ หรือ อาจจะซื้อเป็นของขวัญ ทาง Dripster Coffee ของเราจึงนำ 10 อันดับเครื่องชงกาแฟ ที่ขายดีที่สุดในโลกออนไลน์ ในประเทศไทย มาให้ดูกันเพื่อเป็นแนวทางซื้อเครื่องชงกาแฟ แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนนะครับ มาแรงแต่ไม่ได้หมายถึงดีที่สุดนะครับ วันนี้ขอโฟกัสเฉพาะเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่นะครับ
เริ่มจาก 10 อันดับเครื่องชงกาแฟมาแรงในปี 2019 ในประเทศไทย
#10 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ GAGGIA รุ่น SYNCRONY LOGIC
- ความจุถังน้ำ 1.7 ลิตร
- ความจุเมล็ดกาแฟ 350 กรัม
- ปริมาณกาแฟต่อถ้วย 6-9 กรัม
- กำลังไฟ 1250 วัตต์
- ก้านตีฟองนมแบบลาเต้อาร์ท | ควบคุมการทำงานแบบอนาลอก | ช่องเติมกาแฟแบบบดแล้ว
ลักษณะเครื่องออกแนวอัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่ เน้นสะดวกและรวดเร็ว มีก้านสตีมนม ถือว่าถ้าจะซื้อมาชงกาแฟก็ครบสำหรับอันดับ 10 ของเราแต่ส่วนตัวผมคิดว่าเจ้าเครื่องนี้น่าจะเหมาะสำหรับออฟฟิตที่มีคนใช้งานมากกว่า 2- 3 คนเนื่องจากกดง่าย ๆ ไม่ต้องมีก้านชงที่ต้องดูแลทำความสะอาด ราคาอยู่ที่ ฿27,900
#9 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ Fresh coffee maker รุ่น CRM2008 Lagox Center
- ขนาด 800 วัตต์
- ความจุ 240 ml. ชงได้ประมาณ 4 แก้ว
- แรงดัน 5 บาร์
- เหมาะสำหรับใช้ชงกินในครอบครัว
- มีส่วนสำหรับอุ่นแก้วกาแฟ
สำหรับเครื่องอันดับที่ 9 Fresh coffee maker รุ่น CRM2008 Lagox Center เป็นเครื่องเหมาะสำหรับชงอยู่ที่บ้านดื่มภายในครอบครัว ราคาอยู่ที่ ฿2,199 ส่วนตัวผมแล้วไม่แน่ใจกับความแข็งแรงที่ล็อคก้านด้ามชง ว่าจะทนไม้ทนมือเรารึเปล่าเพราะดูจากอุปกรณ์เป็นพลาสติกซึ่งการล็อคก้านให้ดีต้องหมุนให้สุดเพื่อป้องกันแรงดันออก
#8 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ GAGGIA รุ่น CLASSIC
- รับประกัน 2 ปี
- แรงดัน 15 บาร์
- ความจุน้ำ 2.1 ลิตร
- 3-way solenoid valve
- Pannarello frother
- Body – สเตนเลสสตีล
- กำลังไฟ 1,200 วัตต์
- กxสxล 23 x 38 x 24 ซม. / 8 กก.
- ก้านตีฟองนมแบบคลาสสิค
- ตะกร้าชงแบบถอดเปลี่ยนได้
- โซลืนอยวาล์วสามทาง
ชื่อเสียงยี่ห้อ GAGGIA ก็การันตีได้บางส่วนและ ด้วยความสามารถของเครื่องชงกาแฟน่าจะครบครันสำหรับจะชงกาแฟอร่อย ๆ สัก 1 แก้วได้อย่างสบาย ๆ ทั้ง body ดูแข็งแรงคงทน ฿20,900 นั้นไม่ใช่ปัญหาอะไรเลยที่ซื้อเครื่องชงกาแฟดี ๆ มาแรงในอันดับที่ 8
#7 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ GAGGIA รุ่น Viva Deluxe
- รับประกัน 2 ปี
- แรงดัน 15 บาร์
- ความจุน้ำ 1 ลิตร
- กำลังไฟ 1,025วัตต์
- ก้านตีฟองนมแบบคลาสสิค
- ด้ามอัดแบบ Presurized “Crema Perfertta” ไม่ต้องใช้แทมเปอร์
- ใช้ได้ทั้งกาแฟที่บดแล้วหรือแบบพอตบรรจุสำเร็จ
ด้วยราคาของเครื่องชงกาแฟตัวนี้อยู่ที่ประมาณ ฿5,990 จากยี่ห้อ กาจเจีย น่าจะเป็นรุ่น น้องเล็กที่สุด เหมาะสำหรับจะซื้อมาชงอยู่บ้าน หรือ ออฟฟิต เล็ก ๆ ให้กลิ่นหอมอบอวน ทั่วห้องราคากำลังดีสำหรับจะซื้อเครื่องชงกาแฟคู่ใจสักเครื่อง ระบบการทำงานและความแข็งแรงคงทนคงสู้รุ่นราคาสูงกว่านี้ไม่ได้ แต่ด้วยราคา และยี่ห้อ ก็เหมาะสมดีกับสินค้า
#6 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ Duchess รุ่น CM5300R
- ปั๊มน้ำแรงดันสูง 20 บาร์
- ระบบทำความร้อนแบบเทอร์โมบล็อค เพื่อให้น้ำร้อนเร็วและทำฟองนมได้รวดเร็ว
- แท็งค์เก็บน้ำแบบถอดทำความสะอาดได้ ขนาด 1.25 ลิตร
- ใช้ได้กับแคปซูลระบบ NESPRESSO* Compatible
- ออกแบบให้สามารถเลือกใช้กาแฟได้หลากหลาย ตามความสะดวกและรสนิยมในการดิ่ม
- ตีฟองนมด้วยระบบไอน้ำร้อน ให้ฟองนมที่นุ่มนวล
- สวิทช์เปิด – ปิด พร้อมไฟแสดงสถานะ
- ควบคุมอุณหภูมิด้วยระบบ PCB Electronic ให้การควบคุมความร้อนที่แม่นยำและไอน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง
- ระบบป้องกันความร้อนและแรงดันเกิน เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
- หัวตีฟองนมถอดล้างได้เพื่อความสะอาด
- มีถามอุ่นแก้วกาแฟบนเครื่องเพื่อให้ได้รสชาติกาแฟที่สมบูรณ์แบบ
ด้วยราคา ฿3,590 กับความสามารถขนาดนี้ส่วนตัวผมเอง ถ้าจะซื้อเครื่องชงกาแฟแบบไม่ต้องคิดถึงความคงทนอะไรมากมาย(หมายถึงไม่ต้องกังวน ไม่ใช่ว่าเครืองนี้ไม่ทนนะครับ) คงจะซื้อมาโดยทันที
#5 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ JOWSUA
- ทำฟองนมแสนหอมกรุ่นละเอียดได้ในเครื่องนี้
- ร้อนได้รวดเร็วทันใจ
- บรรจุน้ำได้ถึง 400ml
อันดับที่ 5 เครื่องนี้ผมเองไม่แน่ใจว่าจะเป็นเครื่องตัวเดียวกับอันดับที่ 9 รึเปล่าเพราะลักษณะเหมือนสั่งทำมาจากที่เดียวกันแล้วมาเปลี่ยนยี่ห้อ ความเห็นของผมยังเหมือนกันกับอันดับที่ 9 คือเรื่องความแข็งแรง ส่วนตัวแล้วถ้าจะซื้อเครื่องชงกาแฟสักเครื่องนอกจากราคาแล้วอันดับแรกเลยคือยี่ห้อครับ ถ้ายี่ห้อแปลก ๆ พร้อมที่จะพัง ถึงจะมีประกันก็เถอะ มันก็เสียเวลาของเราราคา ฿1,490 ถ้าไม่แข็งแรงชงได้ไม่กี่แก้วกระผมเองก็คิดว่ามันแพง แต่ผมก็ยังไม่เคยใช้นะครับอันนี้ความเห็นส่วนตัวจริง ๆ
#4 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ ETZEL รุ่น SN203
- กำลังไฟ : 220-240 โวลต์, 50 เฮิรตซ์, 1050 วัตต์
- แรงดันน้ำ : 15 บาร์
- ความจุถังน้ำ : 1.6 ลิตร
- ขนาดตัวเครื่อง : L27 x W25 x H30 ซม. ( packaging L33 x W31 x H34 ซม.)
- น้ำหนักตัวเครื่อง : 3.4 กก. ( 4.5 kg. รวม packaging)
ดีไซน์เครื่องในอันดับที่ 4 นี้ถือว่าสวยงามเลยทีเดียว ฿3,290 นั้นคือราคาของเจ้าเครื่องนี้ เหมาะสำหรับซื้อไว้ชงที่บ้านนะครับ ความแข็งแรงน่าจะโอเคเลยสำหรับราคานี้ กระผมเองอ่านข้อมูลมานิดหน่อยมีบางคนซื้อไปชงขายกันเลยทีเดียว
#3 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ ASGUARD รุ่น C2000S
ข้อมูลตัวเครื่อง ASGUARD เครื่องชงกาแฟ รุ่น C2000S
- ให้แรงดันสูงสุด 19 บาร์
- ถังน้ำบรรจุน้ำได้สูงสุด 1.5 ลิตร
- หม้อต้มแรงดันควบคุมอุณหภูมิได้คงที่ถึง 92ºC
- ใช้เวลาอุ่นเครื่องพร้อมชงแค่ 45 วินาที
- สามารถชงกาแฟ และ ชาได้
- มีฟังก์ชั่นในการตีฟองนม
- สามารถชงต่อเนื่องได้ 10-15 แก้ว
- มีสวิทซ์ปิด-เปิดการใช้งาน
ฟังก์ชั่นการใช้งานสามารถชงกาแฟ หรือ ชาได้ สามารถสตรีมนมได้ ความแข็งแรง ก็ถือว่าครบครันสำหรับการนำไปชงดื่ม ราคาเครื่องนี้กำลังน่ารักอยู่ที่ ฿2,990 ทำให้ ASGUARD รุ่น C2000S เป็นอันดับ 3
#2 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ Duchess รุ่น CM3000B
- กำลังไฟ 1050 วัตต์
- มีความจุถังน้ำขนาด 1.25 ลิตร
- ชงเครื่องดื่มได้ในระบบแรงดันน้ำ 15 บาร์
- สินค้ารับประกัน 1 ปีเต็ม
พอเริ่มเข้าใกล้อันดับ 1 สังเกตุว่าราคาของเรื่องเริ่มจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ นะครับ สำหรับ อันดับ 2 ของเราตอนนี้ราคาอยู่ ฿1,950 โดยส่วนตัวคิดว่าเครื่องนี้น่าจะคุ้มกับราคาที่เราจะจ่ายเพิื่อแลกกับเจ้าเครื่องนี้อยู่นะครับ คิดว่าถ้าซื้อมาชงดื่มที่บ้านหรือที่โต๊ะทำงานวันละ แก้ว 2 แก้ว เครื่องนี้น่าจะคุ้มค่ามากที่เดียวด้วยความแข็งแรงดูจากวัสดุแล้วก็แข็งแรงพอสมควร แต่ถ้าซื้อมาทำฟองนมดื่มจริง ๆ ด้วยราคาประมาณนี้น่าจะไม่พอสำหรับสายจริงจังกับการดื่มกาแฟนะครับ ที่กล่าวไม่ได้หมายถึงเครื่องนี้ทำไม่ได้นะครับ แต่คิดว่าน่าจะไม่น่าจะสตีมได้เต็มศักยภาพ แต่ถ้าถามว่าคุ้มมั้ยคุ้มแน่นอนครับ กับราคาประมาณนี้
#1 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อ ASGUARD รุ่น C1000B
- แรงดันสูงสุด 15 บาร์
- ถังน้ำบรรจุน้ำได้สูงสุด 1.5 ลิตร
- หม้อต้มแรงดันควบคุมอุณหภูมิได้คงที่ถึง 92ºC
- ใช้เวลาอุ่นเครื่องพร้อมชงแค่ 1 นาที
- สามารถชงกาแฟ และ ชาได้
- มีฟังก์ชั่นในการตีฟองนม
- สามารถชงต่อเนื่องได้ 8-10 แก้ว
- สามารถอุ่นแก้วได้ที่ถาดเหนือตัวเครื่อง
- มีสวิทซ์ปิด-เปิดการใช้งาน
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นตอนแรกนะครับ ว่าอันดับความนิยมไม่ได้บอกถึงว่าเครื่องมันจะดีที่สุดนะครับ และรุ่น C1000B จาก ยี่ห้อ ASGUARD ก็เป็นอันดับ 1 ของเรา ณ ตอนนี้ ฿1,950 ราคาถือว่าเท่ากันกับอันดับ 2 เลย จะสังเกตุได้ว่าราคาที่คนไทยนิยมกันอยู่ที่ ประมาณไม่เกิน 2 พันบาท ส่วนความสามารถของเครื่องของอันดับ 1 นั้นก็ครบครันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ด้วยยี่ห้อและราคาประมาณนี้ก็สามารถซื้อมาชงแก้อยากได้นะครับ
และนี้คือ 10 อันดับเครื่องชงกาแฟที่มาแรงของไทยในปี 2019 ณ ขณะเวลานี้ สังเกตุได้ว่าราคาส่วนใหญ่จะประมาณหลักไม่กี่พันบาท อาจจะเป็นเพราะข้อมูลที่เรามาเสนอในวันนี้เป็นข้อมูลของการซื้อออนไลน์เพียงเท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไปที่จะซื้อของราคาสูงผ่านออนไลน์ และสุดท้ายครับส่วนตัวผมเองมีวิธีเลือกซื้อฝากไว้หน่อยนะครับ ขออนุญาติตัดเรื่องงบทิ้งไปนะครับ ถ้าเราจะซื้อเครื่องสัก 1 เครื่องผมว่าสิ่งที่ต้องดูเลยคือ ยี่ห้อ ยี่ห้อบ่งบอกอะไรเราได้บ้าง
ยี่ห้อบอกอะไรเราได้บ้าง
1.ความเป็นมาตรฐานของเครื่อง
2. ประกันจะทำมีความมั่นใจว่าเรามีปัญหาอะไรกับเครื่อง สามารถมีคนรับผิดชอบเราได้
3. มีคนใช้เยอะ เราก็สามารถแชร์ความรู้ทั้งทริค และ เทคนิคต่าง ๆ ได้มากกว่า ยี่ห้อโนเนม
4. เพิ่มความมั่นใจให้กับเราเมื่อชง หรือ ใช้เครื่องเพราะมีความเป็นมาตรฐาน ทำให้กาแฟที่เราชงออกมามีประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม
และนอกจากยี่ห้อแล้วผมคิดว่าควรดู อุปกรณ์ทุกชิ้นว่ามีความแข็งแรงขนาดไหน ส่วนเรื่องระบบอันนี้เป็นเทคโนยีของแต่ละเครื่อง ส่วนตัวกระผมเองคิดว่ามันก็ช่วยได้ดีเลยทีเดียว